BNK48: Rabbit in Borderland the Musical

Rabbit in Borderland the Musical เป็นโชว์ละครเวที ที่นำแสดงโดยสมาชิก BNK48 รุ่นที่ 3 (3rd Gen) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่วง BNK48 ขายงานแสดงละครเวทีแบบเต็มรูปแบบ จากที่ผ่านมาจะพ่วงกับกิจกรรมอื่นด้วย ทำให้งานนี้เป็นการนำเสนอสิ่งใหม่น่าสนใจ แต่ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรละ?

ออกตัวว่าไม่ได้ไปดูการแสดงสดของ BNK48 นานมาก งานสุดท้ายที่ไปดูคือคอนเสิร์ตจบการศึกษาของเฌอปราง ซึ่งเป็นงานที่ flow และจัดเซตลิสต์ได้สนุกดี ทำให้ลืมภาพจำคอนเสิร์ตจบการศึกษาของสมาชิกรุ่น 1 ที่ไม่น่าจดจำไปได้มาก แต่จากนั้นก็ดู Live เท่าที่มีให้ดู พอเห็นประกาศว่าสมาชิกรุ่น 3 จะจัดละครเวทีเลยคิดว่าน่าสนใจพอที่จะไปดูกับตาเลย

เหตุผลที่คิดว่าละครเวที เป็นพาร์ตการฝึกฝนของสมาชิกที่ควรไปสนับสนุน เพราะละครเวทีเป็นเรื่องของสมาธินักแสดง การลำดับเนื้อเรื่อง การเปลี่ยนฉาก การเล่นกับจังหวะอารมณ์คนดูในระดับเหมาะสมตามการแสดงในฮอลล์ แตกต่างจากกิจกรรมอื่นของศิลปินไอดอล เป็นทักษะอีกอย่าง เป็นสตอรี่ที่ทำให้เราเห็นความสามารถของเมมเบอร์ที่ไม่เคยเห็น จริงอยู่พอเป็นงาน BNK48 มันก็ดูต้องลุ้นหน่อยว่าจะออกมาแบบไหน เพราะมีโอกาสออกหน้าทั้งงานคุณภาพจดจำสวยงาม ไปจนถึงงานที่ไม่อยากจดจำไปเลย

แต่สมาชิกรุ่น 3 ก็ไต่ระดับอีกครั้ง เพราะงานค่อนข้างดีมากเลยแหละ ถึงแม้ข่าวว่าจะมีบันทึกการแสดงให้ดูย้อนหลัง แต่ยืนยันว่าการรับรู้บรรยากาศร่วมมันเจ๋งมากกว่าเยอะ

Rabbit in Borderland the Musical โปรโมตว่าเป็นเนื้อเรื่องฉากถัดมาจากหนังสั้น The RA3BBIT ที่ออกมาเมื่อสามปีที่แล้วตอนสมาชิกรุ่น 3 เดบิ้ว คนดูจะได้ลุ้นว่าเหล่ากระต่ายจะต้องเจอกับอะไร จะเอาชนะซอมบี้ได้หรือไม่ ด้วยตัวหนังสั้นมีความจริงจัง แอ็คชัน ขึงขัง โปสเตอร์ละครก็ออกมาโทนทึมดูขรึมจริงจัง ละครเวทีนี้ก็เลยถูกเดาว่าคงจริงจังดราม่ามาก ก่อนเริ่มการแสดงในฮอลล์ยังเปิดหนังสั้น RA3BBIT ให้ดูซ้ำอีกรอบเพื่อทบทวนเนื้อเรื่องด้วย

ฉากแรกของละครเริ่มต้นด้วย Interlude เหมือนก่อนเริ่มการแสดง สมาชิกทั้ง 14 คน ปรากฏตัวในชุดสเตจ BIII พร้อมกับเพลง Mammoth ที่ดุดันขึงขังปลุกเร้าอารมณ์คนดู ว่าเรากำลังจะไปต่อสู้ปะทะกับอุปสรรคที่เข้ามา … มันต้องจริงจังมากแน่ละครเรื่องนี้

การปูเช่นนั้นได้ผลมากเพราะเมื่อไฟของการแสดงเพลงแรกดับลง ละครเปิดฉากมาในฐานบัญชาการที่ฮูพ เฟม เอิร์ธ คุยกันเรื่องการตามหาเซรุ่มรักษาซอมบี้ แล้วเกรซที่ตอนหนังสั้นจบว่าอยู่กับเจ้าเข็มสองคน เพื่อเฝ้าเฌอปรางที่กลายเป็นซอมบี้และถูกมัดเอาไว้ ก็ปรากฏตัว พร้อมเปิดเรื่องเลยว่าได้กัดแขนเฌอปรางขาดตายไปแล้ว ส่วนเจ้าเข็มก็โดนเฌอปรางกินไปเช่นกัน ขณะที่สมาชิกคนอื่น(ที่แกรดจากวง)ก็หายเข้าป่าไปหมดเลย เป็นการปูแบบรวดเร็วว่าตัวละครรับเชิญเหล่านี้ … ไม่มาแน่ๆ

ฉากแรกใช้บทสนทนาแบบติดตลกจำนวนมาก เพื่อบอกให้คนดูรู้ว่านี่เป็นละครที่จะตลกนะ พลิกความคิดที่ว่าละครน่าจะจริงจังไปให้หมด ไดอะล็อกแบบไม่เน้นจริงจัง เช่น ใส่ฟันปลอมกัดแขนขาดนะไม่ต้องกลัวติดเชื้อ หรือการให้เฟมมายืนคูลๆ พูดว่าสุดยอดเลยพี่ หรือวิธีผสมเซรุ่มแบบการ์ตูนพร้อมอุปกรณ์มากมาย ตอนร่ายคาถาก็ร้องเพลง Green Flash ทั้งหมดของฉากแรกเพื่อส่งสาส์นกับคนดูว่า ละครนี้ตลกนะ โปรดอย่าจริงจังกับสิ่งที่จะเห็นต่อจากนี้

ละครใช้การแบ่งฉากเล่าเรื่องเป็น 3 ฉากหลัก ทำให้เมมเบอร์ที่อยู่บนเวทีมีจำนวน 4-5 คน ไม่ล้นและคนดูสามารถโฟกัสได้ เมื่อเข้าฉากที่ 2 ซึ่งเป็นศูนย์กักกันโรค แต่ละตัวละครก็พากันเล่าว่าตนเองโดนซอมบี้กัดมาอย่างไร และเตรียมกลายร่างในเวลาอันสั้น พร้อมกับหนึ่งเพลงในการเล่าเรื่อง ทำให้เห็นว่าเพลง Hammer ตลกแค่ไหน และปิดท้ายว่ายาหยี ไม่ได้โดนซอมบี้กัด แต่บังเอิญเข้ามาอยู่ที่นี่เฉยๆ ปัญหาคือประตูที่นี่แข็งแรงจนหนีออกไม่ได้…

ในจังหวะเปลี่ยนฉาก ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 นาทีต่อฉาก ละครเลือกวิธีดึงความสนใจคนดูโดยเริ่มจากการปล่อยซอมบี้ออกมาเดินป่วนในบริเวณคนดู ซึ่งทั้งหมดเป็นสมาชิกรุ่น 4 (เสียงเอ็มมี่แว้ดแบบระยะประชิดยังติดหูมาก) ถือเป็นวิธีจัดการเวลาที่ครีเอตดี เพื่อปูไปสู่ฉากสาม ที่ละครไต่เลเวลความบันเทิงไปอีก ให้โยเกิร์ตกับแพนเค้กนั่งคุยกัน แล้วใช้ซีนแบบการ์ตูนเมื่อแพนเค้กมัวแต่ร้องมิวจิกกี้ จนไม่ได้ดูว่าโยเกิร์ตกำลังปิดประตูกันซอมบี้บุก จากนั้นละครก็โชว์ความแยบยลของบท เมื่อทั้งสองคนวิ่งหนีออกจากบ้านร้าง วิ่งไปบ้านหลังที่สองเพื่อเจอ มีน-โมเน่ต์ และใช้ไดอะล็อกสั้นๆ แต่คนดูเกตและฮาทันทีคือ “คงปลอดภัยขึ้นกว่าบ้านฟาง เพราะนี่คือบ้านไม้” ซึ่งก็เดาได้ว่าบ้านไม้ก็จะพัง เพื่อหนีไปบ้านอิฐและพบกับป๊อปเป้อนั่นเอง

ละครยังคงใช้การเปลี่ยนฉากแต่ละครั้ง ทั้งให้ซอมบี้ 5 ตัววิ่งมาหาคนดู หรือใช้เมมเบอร์วิ่งเข้าป่ามาพื้นที่คนดู ก็เรียกว่าเป็นวิธีทำให้คนดูสนุกว่าน้องจะเดินมาใกล้ไหมที่แปลกใหม่ดี

การดำเนินของละครครึ่งหลัง เริ่มนำตัวละครแต่ละฉากมาเจอกัน เพื่อปูไปสู่ฉากสุดท้ายที่ทุกคนอยู่ในเวทีเดียวกันทั้งหมด ละครจบเรื่องด้วยการขนานกับสถานการณ์จึงที่ป๊อปเป้อประกาศจบการศึกษา ด้วยการบอกว่าป๊อปเป้อจะเป็นซอมบี้และจบตัวเองลงเหมือนที่เฌอปรางจบตัวเองในหนังสั้น เพลง Mata Aeru Hi Made ปูเพื่อให้ฉากนี้พลิกเข้าโหมดซึ้งในช่วงท้าย จากนั้นจบที่เพลงชาติรุ่นสาม First Rabbit เป็นอันจบการแสดงความยาว 80 นาที

สิ่งที่แข็งแรงมากคือบทที่เข้าใจคาแรกเตอร์สมาชิกแต่ละคน ดึงจุดเด่นมาเล่นแบบไม่ล้นเกินไป แต่ละเพลงที่แทรกมาให้ร้องก็กำลังดี ไม่ได้เต็มเพลงจึงไม่ยืดยาว แถมยังร้องสดดนตรีสดอีก พาร์ตการแสดงได้เห็นว่าสิ่งที่เมมเบอร์เคยบอกว่าใช้ Acting Coach มาฝึกนั้นได้ผลขนาดไหน ไม่มีการนอกบท ลืมบท หรือเสียสมาธิ คนดูถูกพาไปตามบทบาทตัวละครอยากให้เป็นเช่นนั้นจริง

ถ้าให้สรุป Rabbit in Borderland the Musical เป็นงานเทสต์ใหม่ที่วง BNK48 ไม่เคยทำ มาในแบบที่จริงจังในทุกส่วน ยิ่งทราบเบื้องหลังว่าทีมเขียนบทและโปรดักชันมีประสบการณ์ทำละครเวทีมาหลายเรื่องก็ถือเป็นเรื่องดีทั้งกับสมาชิกและคนดู ถ้าจะเสียดายก็แค่ละครน่าจะมีการแสดงซ้ำอีกหลายรอบ เพราะละครเวทีความสนุกคือแต่ละรอบที่มีรายละเอียดไม่ซ้ำเนี่ยแหละ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีโอกาสเห็นอะไรแบบนี้อีกไหมในอนาคต

ชอบนะ ดีใจที่ได้มาดู ต้องพูดซ้ำเพราะไปงานจับมือก็พูดกับน้องไปแล้ว ว่าทั้งหมดเริ่มจากไลฟ์แม่ค้าน้องฮูพที่เชียร์คนดูไลฟ์ตอนนั้นให้กดบัตรนั่นเอง