Jerry Springer: Fights, Camera, Action

ในวงสนทนาหลาย ๆ ครั้ง เรามักพูดเรื่องรายการทอล์กโชว์สนทนาเดี๋ยวนี้ โดยเฉพาะสายรายการข่าว มักใช้หัวข้อที่เป็นข้อขัดแย้ง แล้วให้ผู้ร่วมรายการมีสองฝ่ายที่ตรงข้ามโต้เถียงกัน ซึ่งได้ทั้งเรตติ้งคนดู และโควทไปเล่นต่อหลังรายการ
เวลาพูดถึงรายการแนวนี้ทีไร ผมก็มักนึกถึงรายการที่เล่นแนวทางนี้แบบสุดขั้นในอเมริกาชื่อว่า The Jerry Springer Show ซึ่งหากใครไม่รู้จักรายการนี้เลย ก็สามารถทำความรู้จักได้จากสารคดีความยาว 2 ตอน รวมประมาณ 2 ชั่วโมง ใน Netflix ชื่อว่า Jerry Springer: Fights, Camera, Action

การดูสารคดีนี้ไม่จำเป็นต้องรู้จักรายการ Jerry Springer Show เลยก็ได้ รายการปูพื้นตั้งแต่กระบวนการผลิตรายการโทรทัศน์ตอนกลางวัน (Daytime Show) ที่ประเภทรายการทอล์กโชว์มีการแข่งขันสูงในหลายฟอร์แมต โดยมีรายการของ Oprah Winfrey ยืนหนึ่ง จนกระทั่งการจับคู่กันของ Jerry Springer และ Richard Dominick ทำให้เกิดรายการไทป์ที่ข้ามเส้นทุกอย่างที่รายการทีวียั้งไว้เกิดเป็นรายการชื่อ Jerry Springer Show

ฟอร์แมตสูตรของรายการ Jerry Springer คือสามเหลี่ยมแขกรับเชิญ ต้นเรื่อง คู่ขัดแย้ง และมือที่สาม

รูปแบบรายการคือการนำแขกรับเชิญแต่ละหัวข้อ มานั่งประจันหน้ากับผู้ชมและพิธีกรคือ Jerry Springer เพื่อเล่าและถูกถามแบบจี้ในหัวข้อที่มักเป็นเรื่องความขัดแย้ง ชู้สาว ผิดศีลธรรม หรือความแปลกประหลาด ในการถามตอบแต่ละครั้งจะมีรีแอคของคนดูที่ส่งเสียงเชียร์หรือโห่ไม่พอใจประกอบ รายการใช้วิธีเรียกแขกรับเชิญคนถัด ๆ ไป ออกมาทีละคน ซึ่งมักเป็นคู่ขัดแย้ง จนเกิดการลงมือลงไม้ออกหมัดฟาดกันกลางรายการ หลายกรณีเป็นการเซอร์ไพรส์เพื่อให้เกิดเหตุการณ์ทำนองสารภาพผิด หรือช็อกกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งหมดเป็นวิธีการสร้างความตื่นตาให้คนดูติด จนกระทั่งรายการประสบความสำเร็จด้วยเรตติ้งบางตอนที่สูงกว่ารายการ Oprah เลย

สารคดีพาไปดูทั้งกระบวนการค้นหาเนื้อเรื่องที่มาออกในรายการ (ซึ่งสตั๊นมากกับคำว่า Springer’s Triangle) วิธีที่โปรดิวเซอร์แต่ละตอน “บิ้ว” ให้แขกรับเชิญอาละวาดมากที่สุด การวางตัวของ Jerry ให้เป็นพิธีกรที่คนดูรัก แม้รายการจะเล่นแต่ประเด็นหวือหวาจนได้รับฉายาว่ารายการขยะที่สุดในประวัติศาสตร์ทีวีอเมริกา

ในช่วงท้ายสารคดีพาคนดูตั้งคำถามว่า รายการที่เน้นนำเสนอแต่เรื่องราวแบบนี้ สุดท้ายควรรับผิดชอบต่อสังคมมากแค่ไหน ซึ่งประเด็นหนึ่งที่สารคดีทิ้งไว้คือ เมื่อเราได้เปิดและข้ามเส้นบางอย่างไปแล้ว คอนเทนต์ที่ออกมาหลังจากนั้นก็สามารถรุนแรงได้แบบที่ Jerry Springer Show เคยทำไว้ได้ทั้งนั้น เพราะบาร์ได้ถูกเลื่อนขึ้นไปหมดแล้ว ซึ่งสิ่งนี้ยังส่งผลมาถึงปัจจุบัน แม้รายการ Jerry Springer Show จะเลิกผลิตมาหลายปีแล้ว และ Jerry Springer จะจากโลกไปแล้วก็ตาม