Mad Unicorn

ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญ

ซีรีส์ Netflix สุดไฮป์ของชาวโซเชียลประจำสัปดาห์จนคิดว่าไม่ต้องพูดรายละเอียดอะไรให้มากแล้ว แต่ดูจบก็อยากบันทึกไว้สักหน่อยเหมือนกัน ความที่ซีรีส์ไม่ยาวมากมี 7 ตอน ก็สามารถดูจบได้ในเวลาสั้น (ผมไม่ขนาดดูจบคืนเดียวนะ) และชอบจังหวะซีรีส์ที่เดินฉับสับไว้ดี

Mad Unicorn หรือสงครามส่งด่วน เป็นซีรีส์ 7 ตอนลง Netflix ออริจินัล ผลิตโดย GDH ซึ่งเท่าที่ทราบเป็นงาน budget สูงเบอร์ต้นๆ เท่าที่ Netflix ทำคอนเทนต์ไทยมา ผลลัพธ์จึงเป็นงานซีรีส์โปรดักชันเว่อวังมากในหลายฉาก ความคาดหวังจากทาง Netflix ก็คงสูงตามกันไป

ซีรีส์บอกว่า Inspired จากเรื่องจริงของผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัปขนส่งสีเหลือง ที่มีสถานะเป็นยูนิคอร์น (Valuation 1 Billion USD) รายแรกของประเทศไทย (เขียนข่าวนี้เอง) ซึ่งผู้ก่อตั้งนั้นเคยเล่าประวัติชีวิตในสื่อต่าง ๆ และว่าตามจริงก็น่าสนใจมากพอจนควรพัฒนาเป็นซีรีส์นั่นเอง

เนื่องจากชีวิตจริงย่อมมีรายละเอียดส่วนจริงจังและไม่สนุกในเชิงละคร ซีรีส์จึงใช้คำว่า Inspired เพราะเติมเรื่องราวเข้าไปจากความจริงเยอะอยู่เหมือนกัน ส่วนที่จริงคงเป็น เด็กดอยลำปาง พูดภาษาจีนได้ดี เคยทำงานหลายอย่าง เลือกทำขนส่งเพราะเห็นโอกาสจากตอนไปประเทศจีน กระบวนการทำงานฮาร์ดคอร์มาก และ Raise Fund เป็นยูนิคอร์นรายแรกของไทย

ซีรีส์ใช้เวลาช่วงครึ่งแรกกับการ “ตั้งบริษัท” ซึ่งวางปมหลายอย่างให้เห็นเพื่อปูว่าประโยคที่ว่าทำบริษัทเพราะความแค้นคืออะไร จากนั้นครึ่งหลังจึงเข้าสู่พาร์ตการแข่งขันต่อสู้ เพื่อนำพาบริษัทไปสู่เป้าหมาย โดยวางเดินพันสำคัญที่แพ้ไม่ได้เอาไว้ แล้วขมวดสู่ตอนจบของเรื่อง สูตรนี้ทำให้นึกถึงช่วงท้ายของ วัยรุ่นพันล้าน ที่เป็นหนังจากค่ายนี้เหมือนกัน (ตอนเป็น GTH) ซึ่งพระเอกต้องสู้ทุกทางให้ส่งของเข้าโกดังทันเวลา

หากถามความสมจริง ซีรีส์ได้พยายามทำให้มากที่สุดบนข้อจำกัดเวลา เพราะธุรกิจขนส่งนั้นมีรายละเอียด (ที่สนุกเช่นกัน) อยู่มาก แต่เอามาเล่าทั้งหมดก็ไปหาสารคดีดูดีกว่า อย่างไรก็ตามยอมรับว่าครึ่งหลังนั้นดูโอเว่อร์เป็นเรื่องแต่งมากทีเดียว แต่ถ้าไม่ติดอะไรก็เป็นโทนการ์ตูนต่อสู้ที่จังหวะเชือดเฉือนสนุกดี บนโปรดักชันฉากหลังที่ยิ่งใหญ่ทุกฉาก

ผมยังชอบจังหวะต่าง ๆ ในซีรีส์ มันสนุกในเชิงละคร สันติคือคนบ้าจริงจังแบบเป้าหมายไว้พุ่งชน ตัวละครอื่นต่างมีคาแรกเตอร์ชวนจดจำ โดยเฉพาะทุกซีนของเสี่ยวหยูดีมาก แม้ตัวละครนี้จะเติมขึ้นมาเพื่อเหตุผลทางละครก็ตาม (ฮา) ส่วนในแง่เราเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้ ก็คงเป็นแกนหนึ่งของคนเป็นผู้ประกอบการว่ามีอะไรที่ต้องขบคิดบ้าง มากกว่านั้นคงไม่ถึงกับแนะนำหรือเชียร์อะไร เพราะอย่างที่บอกว่าซีรีส์เล่าได้เพียงระดับหนึ่งตามข้อจำกัดของเวลา อยากได้สาระทางธุรกิจแบบ Fact ไปนู่นเลย ไปฟังบทสัมภาษณ์ต้นเรื่องเลยมีเยอะแยะ

ตัวอย่างประเด็นอื่นที่ให้คิดดูต่อได้หากดูจบ

  • Warehouse ในเรื่องโฟกัสที่เดียวในกรุงเทพฯ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในนั้น ความจริงคือโกดังกระจายสินค้าต้องปรับเพิ่มลดขยาย ตามภูมิภาคด้วย นี่เป็นจุดซับซ้อนอย่างหนึ่งของธุรกิจขนส่งพัสดุ และมีเกร็ดเยอะมากจนทำแยกได้อีกเรื่องเลย ตรงนี้ซีรีส์ข้ามไปเลย มีแค่บอกว่าสายอีสานจ้างเหมาอีกที
  • ซีรีส์พูดถึงการเติบโตในธุรกิจขนส่งเพราะอีคอมเมิร์ซ แต่โลกความจริงวันนี้อีคอมเมิร์ซต่างมาทำขนส่งของตนเองกันแล้วนะ อันนี้หมัดหนักกว่า Easy Express ด้วย
  • ปัญหา Tech issue ในช่วงท้าย นึกดูว่าถ้า VC รู้จะเป็นอย่างไร (ผมไม่รู้นะว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่จริง)