Stand by Me Doraemon (ชื่อไทย เพื่อนกันตลอดไป) เป็นภาพยนตร์ในชุดของโดราเอมอนเรื่องที่สองของปี 2014 โดยเรื่องแรกคือภาพยนตร์ประจำปี แต่ Stand By Me มีความพิเศษเพิ่มมาเพื่อเป็นโปรเจกต์เพื่อฉลอง 80 ปีของอาจารย์ Fujiko F. Fujio (หากยังมีชีวิตอยู่) ซึ่งหนังก็ฉายในญี่ปุ่นแบบล็อกวันเลขสวย 8 เดือน 8 ด้วยStand By Me มีความพิเศษกว่าชุดภาพยนตร์โดราเอมอนที่ผลิตออกมาทุกปีหลายประการคือ
- ใช้การนำเสนอภาพในรูปแบบ 3D CG เป็นครั้งแรก (มีรอบฉายแบบ 3 มิติด้วย)
- เนื้อเรื่องไม่มีการผจญภัยไปยังดินแดนพิเศษ เป็นการนำเนื้อเรื่องในตอนปกติมาเรียงร้อยใหม่
- หนังใช้บริการ Takashi Yamazaki ผู้กำกับจาก Always ทั้งสามภาค ซึ่งเป็นเทพการทำหนังดราม่าเรียกน้ำตา
- ตัวอย่างหนังระบุว่า เลือก 7 ตอนจากเนื้อหาปกติมาทำเป็นหนัง แต่มีแกนอยู่ 3 ตอน
[เนื้อหาจากนี้สปอยล์เยอะมาก]
…
…
…
…
ความที่ Stand By Me มีสิ่งใหม่จริงๆ คือการเล่นกับภาพสามมิติเท่านั้น ขณะที่เนื้อเรื่องเลือกตอนเก่าซึ่งคนดูรู้อยู่แล้ว ข้อสงสัยผมก็คือ Stand By Me จะพาคนดูไปทางไหน จะมีอะไรเซอร์ไพรส์ไหม ประเด็นหลักคือการที่ผู้กำกับเลือกตีความโดราเอมอนในด้านที่ต้องการ ซึ่งก็น่าจะได้ผล
หนังหยิบเนื้อหามาทั้งหมด 7 ตอน (อ้างอิง1, อ้างอิง2) โดยมีแกนคือตอนแรกสุด ผู้มาจากโลกอนาคต (YouTube) ซึ่งเป็นการแนะนำบทบาทหน้าที่ของโดราเอมอนต่อโนบิตะ จากนั้นก็เชื่อมโยงมาที่ตอนความโรแมนติกท่ามกลางภูเขาหิมะ ซึ่งเป็นตอนที่โนบิตะในโลกอนาคตของชิซุกะแต่งงาน กลายเป็นจุดเปลี่ยนโลกอนาคตของโนบิตะ ซึ่งเป็นงานหลักที่โดราเอมอนต้องเดินทางมา (YouTube) และจบด้วยตอนสุดท้ายของเล่ม 6 ลาก่อนโดราเอมอน (YouTube) ก็คือโดราเอมอนต้องลาจากโนบิตะเพราะหมดหน้าที่แล้ว
หนังยังเอาบางส่วนของ 4 ตอนมาเชื่อมโยงเพื่อให้แกนหลัก 3 ตอนนี้ดำเนินต่อไปได้ คือตอนชิซุกะอยู่ในไข่ (YouTube) ตอนลาก่อนชิซุกะ (YouTube) ตอนเจ้าสาวของโนบิตะ (YouTube) ทั้งสามตอนนี้ดึงมาเพื่อโยงความรักของโนบิตะ ส่วนอีกตอนคือ โดราเอมอนกลับมาแล้ว เป็นตอนแรกในเล่มที่ 7 ซึ่งเป็น twist เพราะอาจารย์ฟูจิโกะเกิดอยากตัดจบโดราเอมอนในเล่ม 6 แต่ผู้อ่านไม่ยอม เลยต้องสร้างสถานการณ์ให้เขียนเรื่องต่อไปได้ (ฮา) ในหนังยังมีเนื้อหานิดๆ หน่อยๆ จากตอนอื่นมาผสมด้วยส่วนใหญ่เป็นการนำเสนอของวิเศษของโดราเอมอน
ประเด็นหลักในเรื่องเกิดจาก 3 ตอนหลักที่ว่าข้างต้น และไม่มีพลิกล็อกหักมุมสำหรับคนที่อ่านโดราเอมอนอยู่แล้ว ถ้าจะแตกต่างอยู่บ้างก็คือการให้โดราเอมอนถูกโปรแกรมหน้าที่ไว้ตรงจมูก และจะงานสำเร็จเมื่อโนบิตะมีความสุข ความน่าสนใจคือผู้กำกับเลือกตีความโดราเอมอน โดยเล่นกับสามหัวข้อคือ
- โนบิตะที่ไม่เอาไหน คอยพึ่งพาของวิเศษ
- ชิซุกะที่โนบิตะต้องการสมหวังในความรัก
- โดราเอมอนที่มาเป็นเพื่อนคอยช่วยเหลือ
หนังเล่นอยู่กับสามหัวข้อนี้ และไม่หลุดออกไปเรื่องอื่นมากนัก (ไม่มีแม้กระทั่งโดราเอมอนกลัวหนู) ซึ่งก็เพียงพอต่อการทำให้โดราเอมอนเปลี่ยนสภาพกลายเป็นหนังดราม่าเรียกน้ำตาได้ ไม่ว่าจะเป็นช็อตชิซุกะนั่งคุยกับคุณพ่อคืนก่อนแต่งงาน ฉากโดราเอมอนรับคำสั่งกลับโลกอนาคต หรือฉากคืนสุดท้ายของโดราเอมอนกับโนบิตะ
ถือเป็นการตีความโดราเอมอนในแบบที่จริงจัง มีมติความรู้สึกแบบมนุษย์ที่สูงขึ้นจากเดิม จึงไม่แปลกใจที่กระแสคนดูเรื่องนี้จะเตือนกันว่าเตรียมทิชชู่ไปด้วยเพราะได้เสียน้ำตาแน่ ในเมื่อหนังมันบิ้วกันตลอดขนาดนี้
งาน CG สวยงาม มีฉากโชว์เทพทางกราฟิกอยู่หลายฉาก โดยเฉพาะฉากโลกอนาคตที่เล่นภาพมุมมองบุคคลที่หนึ่งนี่เท่มาก (แถมโฆษณาแฝงได้ด้วย)
ผู้เขียนได้ดูเวอร์ชันพากษ์เสียงไทย ก็ต้องบ่นว่าขัดใจบ้างในการพากษ์บางฉากอยู่ที่ทำให้เสียอรรถรสอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ถึงกับทั้งเรื่อง
สรุปแล้วมันคือโดราเอมอนฉบับภาพยนตร์ที่ฉีกไปจากสูตรหนังประจำปี ซาบซึ้งมาก และสมควรรับชมแม้คุณจะไม่ใช่แฟนของโดราเอมอน เพราะจะทำให้เข้าใจความลึกซึ้งของการ์ตูนเรื่องนี้ครับ
One thought on “Stand by Me Doraemon – โดราเอมอนภาพยนตร์ที่เรียบง่าย แต่กินใจที่สุด”
Comments are closed.