[เที่ยวญี่ปุ่น] ซูชิยามเช้าในซึกิจิที่ Sushi Dai

หลังจากไม่ได้กินซูชิที่ Midori Sushi ชิบูญ่า แต่ความอยากจะกินเสียให้ได้ยังอยู่ จึงปรึกษาบรรดามิตรสหายโตเกียว คำตอบก็คือถ้าไม่ทาน Midori แล้วพอมีเวลาก็ไม่ลองไปที่ Tsukiji ดูเสียเลย โดยแนะนำร้าน Sushi Dai มาให้ พร้อมคำเตือนว่าควรไปแต่เช้าเพราะคิวยาวมาก

กูเกิลแล้วพบว่าคะแนนใน Tabelog เยอะที่สุดเมื่อเทียบกับร้านในตลาดซึกิจิ ยิ่งพวกเว็บภาษาอังกฤษค่อนข้างเชียร์ เลยปักหมุดเอาร้านนี้ ปัญหาคือร้านเปิดตั้งแต่ตี 5 และรถไฟดันเริ่มวิ่งตี 5 หากเลือกนั่งรถไฟยังไงก็ต้องมาถึงตลาดเมื่อร้านเปิดแล้วแน่

ทางออกเดียวก็คือนั่งแท็กซี่ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าควรเป็นตัวเลือกการเดินทางลำดับสุดท้ายเพราะแพงมาก และก็แพงจริง ผมออกเดินทางตี 3 ครึ่งซึ่งนั่งไปไม่ไกลมากก็เจอไป 1,880 เยน -_-”

แท็กซี่ส่งผมที่หัวมุมถนน ไม่ได้ส่งด้านหน้าตลาดเสียทีเดียว ต้องเดินต่ออีกหน่อย

ตอนนี้ประมาณตี 4 ร้านรวงสองข้างทางก็เริ่มเปิดร้านแล้ว

ร้านนี้ขายข้าวหน้าปลาดิบ เปิดแต่เช้ามืดก็มีคนนั่งทานแล้ว

กิจกรรมหนึ่งที่มีในตลาดปลาซึกิจิคือชมการประมูลปลาทูน่า โดยจำกัดจำนวนผู้เข้าชมแต่ละวัน ต้องมารับบัตรคิวที่ศูนย์ข้อมูลทางประตูฝั่ง Kachidoki จำกัดวันละ 120 คน ผมมาเวลาตี 4 เศษๆ เขาก็ติดป้ายคิวหมดไปเรียบร้อย

แผนที่ตลาด พื้นที่ซึ่งเข้าไปดูได้คือ โซนร้านอาหาร (Uogasi) ส่วนขายพืชผัก และส่วนตลาดปลาโค้งใหญ่ๆ ซึ่งเข้าไปดูได้หลัง 9 โมงเช้า

ถ้าหากไม่นั่งแท็กซี่มา ยอมสายหน่อย สามารถนั่งรถไฟใต้ดิน Toei ได้ ลงที่สถานี Tsukijishijo (E18) สาย Oedo เดินออกมานิดเดียวก็ถึงหน้าตลาดเลย

ตลาดปลาซึกิจิต้องมาตั้งแต่เช้ามืดถึงเช้าเท่านั้น พอเลยเที่ยงหน่อยร้านก็เริ่มทยอยปิดแล้ว เลยไม่ค่อยมีทัวร์ไทยจัดโปรแกรมมากนัก จริงๆ ก็มีอยู่บ้าง แต่เป็นตัวเลือก เพราะต้องตื่นเช้าเป็นพิเศษ ไม่ใช่ 7-8-9 สไตล์ ที่นี่มีป้ายเตือนค่อนข้างเข้มงวดอาทิ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว การถ่ายรูปให้งดใช้แฟลช ให้ระมัดระวังรถขนปลาที่ขับขี่ในนี้ หากบาดเจ็บทางตลาดอาจไม่รับผิดชอบ ฯลฯ

เดินมาในละแวกร้านซูชิ หาร้าน Sushi Dai (寿司大) ไม่ยากครับเพราะเป็นร้านเดียวที่มีคนต่อคิว ตอนนี้ตี 4 เศษๆ พบว่ามีคนรอคิว 2 คน … เย้!

ทั้งคู่เป็นคนญี่ปุ่น เลยไม่รู้จะสนทนารอแก้เบื่อยังไง เราก็ยืนรอไปเรื่อยๆ แทน ประมาณ 4:30 คุณป้าเดินออกมาจากในร้าน เพื่อตั้งแผงสำหรับไว้เข้าแถว ที่นี่ไม่ปล่อยให้คิวเราลากยาว เพราะมันจะไปบังร้านอื่น แต่ตีแผงเป็นสี่เหลี่ยมหน้าร้าน ยืนได้ประมาณ 10 กว่าคน เกินนั้นต้องออกไปยืนฟุตบาทติดถนนใหญ่

ระหว่างรอก็อ่านป้ายกติกาหน้าร้าน สรุปความได้ว่า

  • ขายเมนูเริ่มต้นแบบเป็นเซต มี 2 แบบ คือ Omakase (3,900 เยน) มีซูชิ 10 คำที่เชฟเลือกให้และเราเลือกเองอีก 1 อย่าง
  • อีกแบบคือ Jyou (2,500 เยน) มีทั้งหมด 7 คำ เป็นเมนูมาตรฐาน
  • จบคอร์สแล้วสามารถสั่งเมนูอื่นแยกต่างหากได้เรื่อยๆ หรือจะเริ่มเซตสองอีกรอบก็ได้ (ฮา)
  • จ่ายเงินสดเท่านั้น
  • ร้านเปิดตี 5 ถึงบ่าย 2 หยุดทุกวันหยุดของตลาดปลา แต่หลักๆ คือหยุดวันอาทิตย์, วันพุธ และวันหยุดราชการ (เช็กวันที่ตลา่ดเปิด-ปิดที่นี่)

ตี 5 ถึงเวลาร้านเปิด คิวเริ่มเยอะ กะด้วยสายตา น่าจะ 30 คน ล้นออกไปถนนเรียบร้อย คุณป้าคนเดิมเริ่มเดินถามคนที่จะได้เข้าร้านชุดแรกทั้งหมด 13 คนตามจำนวนที่นั่ง ว่าจะทานเซตแบบไหน แน่นอนว่าอุตส่าห์มาก็ต้องเซตใหญ่เลย

ที่นี่ทุกคนต้องนั่งเคาน์เตอร์ ดูเชฟทำซูชิกันเห็นๆ 1 คนจะดูแลลูกค้า 3-4 คน

เวลาเสิร์ฟก็จะมาทีละคำแล้ววางบนโต๊ะไม้ด้านหน้านี้เลย

ข้อสังเกตคือเชฟทุกคนสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี (พอบอกเป็นคนไทยก็สวัสดีครับด้วย) เวลาปั้นซูชิเสิร์ฟก็จะบอกเมนูเป็นภาษาอังกฤษก่อน รวมทั้งวิธีรับประทานเช่น คำนี้ทาโชยุมาแล้ว ไม่ต้องจิ้มซ้ำอีก (No sauce) นอกจากนี้เชฟยังถามเช็กเองว่าทานวาซาบิได้ไหม ทานหอยได้หรือไม่ รอบที่ผมเข้าไปมีฝรั่งหลายคนเหมือนกันที่บอกขอไม่ทานหอย

มาเริ่มคอร์สเมนูกันดีกว่า ทูน่ากันก่อนเลย ตอนเสิร์ฟเชฟบอกเป็นโอโทโระ

ปลากระพง

อันนี้ปลาคินเมได

ไข่หอยเม่น

ปลาซันมะ หรือซาร์ดีนดองมีต้นหอม

พักเบรก ทานซุปก่อน

คำนี้เป็นหอยฮอกกิไกหรือหอยปีกนก ที่นี่เสิร์ฟแบบยังมีชีวิต (ตอนปั้นมีตบป๊าบให้มันนิ่งๆ ด้วย) หอยเลยขยับนิดหน่อยต่อหน้าเรา ก็ทานไปด้วยมั่นใจว่าสดแน่

ต่อมาเป็นทามาโงะยากิหรือไข่หวานย่าง อร่อยดีไม่รู้ใส่อะไรบ้าง

คำนี้เป็นบูริหรือปลาหางเหลือง ปลาล้นเคาน์เตอร์เลยทีเดียว

ต่อมาเป็นกุ้งเล็ก ทาซอสมาเรียบร้อย หวานๆ

ไข่ปลาครับ
มากิ
มีอีกเมนูคือปลาไหลย่าง อันนี้ลืมถ่ายรูป แต่สีออกขาว ไม่น้ำตาลแบบในไทย พอทานครบถ้วนทุกเมนู (กำลังเริ่มเลี่ยน) เชฟก็ให้เราเลือกฟรีสไตล์ที่อยากทานได้อีกหนึ่งอย่าง ตอนแรกนั่งคิดนาน เลยมีเกมเร่งโดยให้ใบนี้มา สุดท้ายผมก็เลือกโอโทโระซ้ำอีกทีไป
เบ็ดเสร็จใช้เวลาทานในร้าน 40 นาที จ่ายเงินออกมาจากร้าน คนรอคิวเขาจะได้ทานต่อ (ส่วนฝรั่งที่นั่งติดกันแกสั่งต่อรัวๆ เลย) พอเดินออกมาก็พบว่า ณ ตอนนี้ 5:40 คนรอคิวประมาณนี้ (วันที่ผมไปเป็นวันพฤหัสบดี)
แล้วล้นออกมาด้านข้างขนาดนี้
ก็เอาเป็นว่า ถ้าอยากไปลอง Sushi Dai แต่ไปสายหน่อย คะเนว่ารอ 2-3 ชั่วโมงเห็นจะไม่เกินไปจากที่กล่าวอ้าง

ปัญหาคือถ้าไม่ลอง Sushi Dai มีตัวเลือกอื่นไหม ร้านที่เขาแนะนำรองมาคือ Sushi Daiwa ซึ่งเป็นของครอบครัวเดียวกันกับ Sushi Dai แยกมาเปิด ร้านอื่นในย่านนั้นก็พอทดแทนกันได้ และมีเมนูที่แตกต่างกันไป ผมคิดว่าอีกเหตุผลที่ Sushi Dai ดังเพราะเขาค่อนข้าง English Friendly มากกว่าร้่านอื่น นักท่องเที่ยวก็เลยชอบกัน ผมคุยกับบางร้านย่านนั้นคุยอังกฤษไม่ได้เลยก็มี