Tokyo Olympics 2020 ก็จบไปเป็นที่เรียบร้อย กีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ ที่ชาวเกาะเฝ้ารอคอยว่าจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจ และพวกคนแถวนี้ที่หวังจะไปเอ็นจอยเจแปนโอลิมปิกแบบเกร๋ๆ แต่โควิดก็พัดทุกอย่างพังหมด แม้ในที่สุดการแข่งขันก็จัดจนจบได้ แต่ความเสียหายจากการลงทุนก็น่าจะไม่น้อยทีเดียว พร้อมกับการจัดที่ใครคาดหวังจะเห็นอะไรล้ำๆ ก็อาจจะไม่เยอะอย่างที่คิด แต่ความเรียบง่ายก็เป็นสตอรี่แบบเกาะได้อีกแบบนั่นแหละ
เทคโนโลยีทำให้การดูโอลิมปิกยุคนี้ไม่ลำบาก และ On Demand มากขึ้น ในหลายช่องเวลาไม่มีการแข่งขันและไม่มีเทปรีรัน ตารางผังจะเขียนว่า Filler Program คือเอาเทปสารคดีนั่นนี่มาฉายแทรก พร้อมสลับภาพสดสถานที่ต่างๆ ในโตเกียว ซึ่งที่สังเกตก็ครบครับแลนด์มาร์คครั้งนี้อย่าง Rainbow Bridge โอไดบะ, วัด Senso-Ji, Japan National Stadium, ห้าแยก Shibuya, Tokyo Tower, สะพาน Meganebashi, สะพาน Yume no Ohashi โอไดบะ ซึ่งเป็นจุดวางโชว์กระถางคบเพลิง
สีสันที่น่าประทับใจก็คือความเบียวมากมาย สมกับที่จัดโอลิมปิกที่ญี่ปุ่นในยุควัฒนธรรมเกาะอย่างอนิเมะเฟื่องฟู แม้แต่ยิมนาสติกลีลา ยังต้องมีเพลงเซเลอร์มูนจนได้
แม้การแข่งขันส่วนใหญ่จะจัดในโตเกียว แต่กีฬาศักดิ์สิทธิ์ของโอลิมปิกอย่างวิ่งมาราธอน ก็จำเป็นต้องย้ายไปทางเหนือจัดที่ซัปโปโรแทน เนื่องจากสภาพอากาศในโตเกียวที่ร้อนจัดมาก แต่ก็ยังร้อนอยู่ดี ถือเป็นการสลับวิวเส้นทางที่เน้นใน Hokkaido University และสวน Odori
เชื่อว่าจากนี้สถานที่ต่างๆ ในโอลิมปิกจะเป็น Tourist Attraction เมื่อการเดินทางกลับมาอีกครั้ง ส่วนตัวเคยไป Olympics Park ที่ Sydney พบว่าการที่สถานที่เหล่านี้มีเรื่องราว ก็จะเป็นการส่งต่อไปยังเยาวชนรุ่นถัด ๆ ไปได้นั่นเอง
หวังว่าปัญหาโควิดของโลกจะผ่านพ้นไปได้ แล้วพบกันอีกครั้งที่ Paris 2024