Test Taste of Love – เมื่อ 7 เมนู Fine Dining ถูกเสิร์ฟ ไปพร้อมกับเรื่องราวความรักในเวลา 7 ปี

ถ้าละครเวทีปรับ Settings ให้เรื่องราวเกิดขึ้นในร้านอาหาร คนดูและนักแสดงไปอยู่ในร้านอาหารจริง ๆ และเมนูอาหารก็ทยอยเสิร์ฟให้คนดูกินไปขณะที่เนื้อเรื่องดำเนิน โดยมีความเชื่อมโยงกันอยู่ มันจะเป็นยังไง?

ที่ว่ามาคือโปรเจกต์ Test Taste of Love ละครเวทีแบบ Immersive ที่ทดลองดูว่า อาหารแบบคอร์ส Fine Dining สามารถใส่เรื่องราวของละครเข้าไปได้อย่างไร ผลงานละครของครูเบลล์ ชยานิษฐ์ นำแสดงโดย บิลลี่ ชัชวาร (Masterchef Thailand SS4) และเจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ

ละครเรื่องนี้จัดขึ้นในร้าน Larder คาเฟ่บรันช์ที่สุขุมวิท 39 (Wongnai) โดยจัดโต๊ะที่นั่ง และพื้นที่ให้รองรับเรื่องราวของละครนี้ Taste of Love พูดถึงเรื่องราวความรัก ในระยะเวลา 7 ปี พร้อมกับการเสิร์ฟอาหาร 7 เมนู ที่แต่ละเมนู connect กับเรื่องราวในจังหวะนั้น

บรรยากาศก่อนเริ่มการเสิร์ฟอาหาร ทั่วทั้งร้านมีทั้งจดหมาย ดนตรี เป็นการอินโทรเพื่อพาคนดูเข้าสู่มูดเรื่องราว จดหมายของอัย (เจนนิษฐ์) และเชฟบี (บิลลี่) ที่ต่างพูดถึงการปรับความเข้าใจของคู่รัก ขณะเดียวกันเพลงในร้านที่เล่นดนตรีสด ก็มีทั้งโหมดสุขเศร้าสลับกันไป

จากนั้นเข้าสู่พาร์ตของนักแสดงและเรื่องราว เชฟบีออกมาเล่าถึงรักแรกเจอ เมื่ออัยเข้ามาที่ร้านอาหารเพื่อขอเข้าห้องน้ำ จากนั้นทั้งสองคนเริ่มทำความรู้จักกัน ละครใช้พื้นที่ร้านเต็มที่เพราะอัย ก็เดินเข้าร้านมาจากข้างนอกที่เป็นถนนในซอย เมื่อเรื่องราวแรกจบลง ครัวก็เริ่มเสิร์ฟเมนูแรก Love at First Bite แซลมอนโรล ด้านในเป็นครีมชีสผสมเจลมะม่วงเสาวรส โปะด้านบนด้วยแผ่นข้าวตังและคาเวียร์ เปรียบดั่งรักแรกที่สดใสอิ่มเอม

ครั้งแรกที่อัยได้รู้จักกับบี

Love at First Bite

เข้าสู่เมนูที่ 2 ความรักที่เบ่งบาน บียังคงโฟกัสและสนุกกับการทำร้านอาหาร อัยก็มุ่งมั่นเพื่อเดบิ้วเป็นศิลปินในต่างประเทศ เหตุการณ์จบลงด้วยมวลความรักที่หวานอบอุ่นและร้อนรุ่ม เมนูที่เสิร์ฟคือ Heart Beat มาการองที่ทำลูกเล่นด้วยไส้ตับไก่บด สัมผัสแรกนั้นหวานอย่างที่เห็น แต่ด้านในกลับมีอะไรชอบกล จานนี้น่าจะเป็นตัวเปิดว่าวิธีนำเสนอละครนี้กำลังจะพาคนดูไปอย่างไร

Heart Beat

เรื่องเดินทางมาถึงปมขัดแย้ง อัยมาใช้ครัวทำอาหาร และเกิดควันขโมง ทั้งบีและอัยทะเลาะกัน เริ่มมีบางอย่างที่สองคนมองไม่ตรงกันแล้ว เมนูที่ 3 ชื่อ Smoky Love ปลาเก๋าแดงผิวกรอบ เสิร์ฟในซอสมะขามพริก จากจานที่แล้วที่เริ่มพาคนดู(ที่เป็นคนกินด้วย) เดินออกนอกกรอบบางอย่าง จานนี้ก็เช่นกัน ปลามีรสสัมผัสดี ส่วนซอสนั้นหวานซอสมะขาม แต่ก็ตัดด้วยรสเผ็ดพริกที่เด่นขึ้นมา ความรักตอนนี้ก็คือความหวานที่ยังมี แต่อะไรบางอย่างเริ่มแทรกขึ้นมา

Smoky Love

เมนูที่ 4 ถูกส่งต่อออกมาพร้อมการเล่าเรื่องถึงชีวิตรักปีที่ 3-5 ซึ่งแต่ละคนปรับเข้าหากันพอสมควรแล้ว แต่ยังมีบางอย่างที่ขัดแย้ง เป็นช่วงที่เผ็ดร้อน ซึ่งเป็นเมนคอร์สชื่อ Taste of Love เสิร์ฟเป็ดซอสสับปะรด ที่ราดด้วยพริกแกงเผ็ด เรียกว่านำเสนอความเข้มข้น แต่ก็จัดจ้าน เชฟบียังบอกว่าจริงๆ พาร์ตนี้น่าจะมีเนื้อเรื่องด้วย แต่การดูคนทะเลาะกันคงทำให้อาหารจานนี้ไม่อร่อยนัก แต่เอาเข้าจริงเป็ดซอสพริกแกงนี่ลงตัวมาก และทำให้รู้ว่าความรักทั้งคู่ก็น่าจะขัดแย้งร้อนแรงแบบเมนูนี้

Taste of Love

การเล่าเรื่องมาถึงเมนูที่ 5 ด้วยชื่อ Repeat ริซอสโตท็อปฟัวกรา รอบด้วยน้ำสลัดบัลซามิกและโอลีฟออย เชฟบีบอกว่าหลายเรื่องราวก็เริ่มเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แรกๆ ก็ดี แต่นานไปซ้ำบ่อยก็เลี่ยน เหมือนเมนูนี้ คำแรก ฟัวกราเบิ้ลริซอสโต เข้มข้น แต่คำสองที่เหมือนเดิม แม้เอาบัลซามิกมาช่วย ก็ไม่ทำให้เลี่ยนน้อยลงนัก นึกดูก็น่าสนุกที่เมนูนี้กลับส่งซิกบอกคนดู(ที่เป็นคนกินด้วย) ว่าเออ ถ้าเลี่ยนเนี่ย เราจะฝืนไปจนหมดจานไหม….แฮ่ เราหมด 555+

Repeat เมนูที่ใครก็ลงความเห็นว่าเลี่ยน แบบส่งซิกให้คนดู

เรื่องราวมาถึงจุดแตกหัก เพราะกำลังเข้าสู่ปีที่ 7 ของความรัก ทั้งอัยและบีตัดสินใจแยกทางกัน เป็นการบอกลาที่เจ็บปวด พาร์ตการแสดงนี้ให้เวลาหลายนาทีพาคนดูดิ่งไปกับสองตัวละคร ที่เศร้าถึงขีดสุด เพราะต่างพยายามปรับและเข้าใจ แต่สุดท้ายก็ไปไม่ไหว ซีนนี้ยกดราม่ามาเต็มทั้งน้ำตาที่เจ็บปวดของบี และการร้องไห้แบบหมดสิ้นแล้วที่ประตูของอัย

ซีนน้ำตาอีกครั้งจากเจนนิษฐ์

ในละครมีแบบสอบถามว่าเมนูใดที่ชอบที่สุดใน 7 อย่าง และเมนูที่ 6 ที่เสิร์ฟหลังความสัมพันธ์ของสองคนจบลง เมนูนี้ดูเรียบง่ายมาก แต่กลับกลายเป็นเมนูที่เราชอบที่สุดไปอย่างนั้น มันชื่อว่า D.I.Y. จับ Surf and Turf (เนื้อและกุ้ง) มาให้กินพร้อมกับแผ่นแป้ง ผักเคียง และผักปรุงรส พร้อมน้ำราดสะเต๊ะ จานนี้เล่นกิมมิคตั้งแต่ผักสดที่เสิร์ฟในชะลอม ขณะที่จานเมนูกลับดูเป็นแหนมเนืองประยุกต์มากกว่า

D.I.Y.

เชฟบีเล่าถึงเมนูนี้ว่า ความรักแต่ละคนก็เหมือนการปรับแต่งสิ่งที่ชอบให้กับตนเอง แต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน รายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกัน อาจจะเพราะอะไรหลายอย่างทำให้ทัชกับเมนูนี้บอกไม่ถูก ทุกคนล้วนมีวิธีคิดและจัดการแตกต่างกันไป เราลองจัด combination หลายแบบเพื่อทำความเข้าใจ ลองผักที่ปกติเสิร์ฟกับแหนมเนืองก็ไม่กิน หรือเพราะอยากทำความเข้าใจกระมัง

ละครดำเนินมาถึงบทสุดท้ายกับเมนู Bitter Sweet เพราะความรักมีทั้งหวานและขม ทิรามิสุ ของหวานที่หวานและขม เสิร์ฟพร้อมครัมเบิลและไอศกรีมวานิลลา จะเพราะเรื่องราวมันดิ่งจนสับสน หรือเพราะ portion เสิร์ฟจานนี้ทิรามิสุใหญ่มาก หรือเพราะอิ่มแล้ว (ฮา) หลายคนเลยกินไม่หมดจานนี้กันไป

ของหวานปิดท้าย Bitter Sweet

มาถึงจุดสุดท้ายเป็นกิจกรรมสนุกให้คนดูโหวตว่า อยากเห็นตอนจบ อัยจะกลับมาหาบีหรือไม่ ในการแสดงครั้งนี้คนดูเลือกให้อัยกลับมาหวานขมร้อนแรงกับบีกันต่ออีกครั้ง

ว่าด้วยอาหารก่อน พอเราพูดว่าอาหารที่สอดคล้องกับละคร ความคาดหวังก็คือเมนูที่ไม่ joyful มากนัก ยิ่งละครมาพูดเรื่องราวความรักที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแบบนี้ และหลายเมนูก็พาเราไปตรงนั้นผ่านรสชาติแฝงที่ตัดกับรสชาติหลัก เข้ากันบ้างไม่เข้ากันบ้าง ตามแต่ผู้กิน ยังไงก็เป็นประสบการณ์อาหารที่สนุกดี

มาพาร์ตการแสดงบ้าง เชฟบิลลี่ที่ดำเนินเรื่องหลักพาคนดูเดินตามเส้นเรื่อง และที่สนุกกว่าคือเชฟบิลลี่ต้องเข้าไปจัดการครัวด้วยระหว่างการแสดง (ฮา) ก็นับเป็นมิติใหม่ดี ที่เชฟดูแลครัวและแสดงละครสองอย่างพร้อมกัน เจนนิษฐ์ที่มาในบทอัย คู่รักของเชฟบี มีเสน่ห์ในทุกฉากที่ปรากฏ เติบโตขึ้นไม่ใช่โหมดน้อนเต็น BNK48 ที่เคยเจอ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับลายเซ็นมาตรฐานด้วยซีนดราม่าที่บีบน้ำตา ลากคนดูลงสู่โหมดดำดิ่งได้อย่างรวดเร็ว

เจนนิษฐ์กับบทบาทใหม่อีกครั้ง ในการแสดงละครเวที สด ๆ ไม่มีคัท

ได้สนทนากับครูเบลล์สั้น ๆ ทำให้เข้าใจว่าโปรเจกต์นี้คือการนำเสนอ Fine Dining ในอีกวิธีการ เพื่อให้ประสบการณ์ใหม่ๆ กับคนกินและคนดู ซึ่งเชฟบิลลี่ก็เป็นนักเรียนการแสดงอยู่แล้ว ผสมกับสกิลของเจนนิษฐ์ที่มาดึงเรื่องราวความรัก-ความเลิก ให้เต็มอิ่มมากยิ่งขึ้น

โปรเจกต์นี้มีแผนขยายสเกลในรูปแบบที่จริงจังมากขึ้นช่วงปลายปี ด้วยจำนวนรอบที่เพิ่มขึ้น ที่นั่งที่มากขึ้น เมนูที่จัดเต็มมากกว่านี้ คงต้องรออัพเดตกันอีกทีปลายปีครับ

ครูเบลล์ – เจนนิษฐ์ – เชฟบิลลี่