ความจริงแพลนว่าจะเขียนโดยเร็วยังดูคีย์โน้ตจบ แต่ขี้เกียจนอนน้อยสะสมต่อเนื่องหลายวัน มาเขียนตอนนี้ก็อาจไม่สดในความคิดแว้บแรกแล้ว แต่ถือว่าบันทึกเท่าที่คิดออกตอนนี้ แล้วมาดูว่าเวลาผ่านไปจะเป็นไง
พูดแบบคนที่เล่นแว่น VR ในแง่ใช้งานทั่วไป ไม่ใช่เล่นเกม มาประมาณหนึ่ง แต่ไม่สามารถบอกว่าได้ว่ามากพอ ปัญหาของ VR ที่ผมมักพูดประจำคือ เราจะวิจารณ์ได้ยากมากถ้าไม่ได้ลองมาใช้งานหรือเล่นเอง ที่พูดแบบนี้เพราะในยุคเวลาหนึ่ง คำว่า “VR คืออนาคต” มาแรงมาก แล้วนี่ไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะจากการได้เล่น VR ตอนนั้น รู้สึกว่าเป็นของเล่นเสริมความหรู แต่ยังไม่ใช่อนาคตแน่
คิดว่าเกิน 10 ปี แล้วแหละจากตอนนั้น ก็คงเห็นว่าโลกมี VR แต่ก็ยังเป็นของเล่นเสริม หรือใช้งานเฉพาะส่วน มากกว่าจะเป็นสินค้าแมส เมื่อเชื่อแบบนั้น จึงคาดหวังว่าเฮดเซต Apple Vision Pro อาจจะพาโลกเสมือนไปอีกขั้น
ผลคือการนำเสนอก็ประกาศฟีเจอร์ที่แปลกไปจาก VR ค่ายอื่นที่ขายกันทั่วไป เช่น แว่นจอ(เหมือน)ใสมองเห็นดวงตาด้านใน ซึ่งมารู้อีกทีคือเป็นจอสะท้อนตาออกมา การควบคุมด้วยตาและมือ ไม่มีคอนโทรลเลอร์ จนถึง Interface ที่ผสมโลกจริงรอบตัว กับโลกเสมือนตรงหน้า แต่ทั้งหมดเป็นการเล่าผ่านคีย์โน้ต ก็ไม่อาจพาเรา “ตื่นตา” ในประสบการณ์แบบใส่แว่นได้ สินค้านี้ยังต้องพึ่งพาการป้ายยาด้วยการ “ไปเล่นดูเอง” อยู่ดี
การเปิดตัวฟีเจอร์ถล่มทลายมากมาย ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร สินค้าแอปเปิล “รุ่น1” ก็เป็นแบบนี้เสมอ เทียบเคียงภาพที่ชัดที่สุดก็คือตอนเปิดตัว Apple Watch รุ่นแรก ปี 2014 ตอนนั้น Apple บอกว่า Apple Watch ทำงานเด่น 3 ส่วนคือ หน้าปัด Customize, แอพแชตหากัน และแทร็กออกกำลังกาย สองอย่างแรกแทบไม่เน้นแล้ว ปัจจุบันเน้นๆ คือเรื่องสุขภาพ (ไปไกลมากกว่าออกกำลังกาย) แถมใครก็คงจำได้ว่ารุ่นแรก เน้นความแฟชั่นเสริมหรูด้วยซ้ำ (รุ่น Edition อันละ 3 แสน)
ในแง่เทคโนโลยี Apple น่าจะกำหนดมาตรฐานไปหลายอย่างจากนี้ แต่ Mass Adoption คงต้องให้เกิดการทดลองใช้งานป้ายยาในวงกว้างมากกว่านี้ และไม่คิดว่าจะเกิดเร็วๆ นี้ ทั้งจากความเป็น VR และราคา